บล็อก

Backup as a Service (BaaS) ข้อมูลสำคัญป้องกันไว้ดีกว่าแก้

ในยุคดิจิทัล ข้อมูลถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับธุรกิจ จนมีคนเปรียบว่า “Data is the new oil” ดังนั้นความได้เปรียบของแต่ละองค์กรหรือบริษัทล้วนมาจากการหาและใช้ข้อมูลทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นขององค์กรเอง ข้อมูลของคู่แข่งในตลาด หรือข้อมูลของลูกค้าเอง ข้อมูลทุกอย่างล้วนมีค่าและมีความสำคัญที่จะต้องเก็บรักษาให้ปลอดภัยไม่ให้เกิดการสูญหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสามารถนำกลับมาใช้ได้ตลอดเมื่อต้องการ

การที่ข้อมูลจะสูญหายได้นั้นเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องความชำรุดของอุปกรณ์ที่ใช้ เกิดจากความผิดพลาดของตัวซอฟต์แวร์เอง จากภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม การโจรกรรม ความผิดพลาดที่เกิดจากตัวผู้ใช้งานเอง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกโจมตีทางไซเบอร์ที่นับวันจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน แม้ว่าเราจะสามารถเตรียมการรับมือกับเหตุต่างๆ ที่จะทำให้ข้อมูลเราสูญหายได้ แต่ปราการด่านสุดท้ายคือการสำรองข้อมูล ที่เราจะมั่นใจได้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น องค์กรยังคงมีข้อมูลสำคัญเก็บอยู่อย่างปลอดภัย

Symphony Cloud Service ขอพาทุกคนมารู้จักกับ Backup as a Service (BaaS) ว่ามันคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไรกับธุรกิจ

Backup as a Service (BaaS) คืออะไร

เป็นโซลูชั่นการสำรองและการจัดเก็บข้อมูลโดยเก็บไว้สำรองกับผู้ให้บริการ Cloud ภายนอกอีกหนึ่งชุด จากเดิมที่หลายๆ องค์กรมักจะทำการเก็บหรือสำรองข้อมูลแบบ On-Premises ขององค์กรเองเพียงชุดเดียว แต่ตามแนวคิด 3-2-1 Backup Rule สมัยใหม่ การสำรองข้อมูลบนระบบ Cloud สามารถป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับข้อมูลได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดทำให้ธุรกิจไม่สามารถดำเนินต่อไปได้  แนวทางในการจัดเก็บข้อมูลแบบ Backup  as a Service นี้ จึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเดิมที่องค์กรต้องใช้ทรัพยากร ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ต่างๆ ขององค์กรเอง โซลูชั่นนี้จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดการ เพิ่มประสิทธิภาพการสำรองข้อมูลและกู้คืนข้อมูลได้อย่างดี  ส่วนการจัดการทรัพยากรที่ต้องใช้นั้นจะเป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการ BaaS

ทำไมต้องใช้ Backup as a Service

ในปัจจุบันองค์กรและธุรกิจจำนวนมาก มีการใช้งานและเก็บข้อมูลในการดำเนินงานการพัฒนาธุรกิจไว้ในรูปแบบดิจิทัลและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการเก็บและใช้งานข้อมูลเหล่านี้เองก็มีความเสี่ยงที่ข้อมูลจะสูญหายอันเนื่องมากจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ระบบจัดเก็บเสียหาย โดนโจมตีทางไซเบอร์ รวมถึงเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่นๆ ซึ่งหากข้อมูลเหล่านี้สูญหายหรือรั่วไหล อาจสร้างความเสียหายให้แก่องค์กรหรือธุรกิจเป็นอย่างมาก ถึงจะมีการสำรองข้อมูล On-premises ไว้อยู่แล้ว แต่ถ้ามีการใช้บริการ BaaS เพิ่ม การสำรองข้อมูลลงบน Cloud ย่อมปลอดภัยและเพิ่มความมั่นใจในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินได้ โดยประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้งาน BaaS คือ

  1. ความรวดเร็ว เนื่องจากสามารถเริ่มใช้งานได้ทันที ไม่จำเป็นต้องลงทุนด้านอุปกรณ์และไม่ต้องดูแลรักษา เพราะเป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการอยู่แล้ว
  2. ความปลอดภัย เพราะข้อมูลที่ถูกสำรองไว้บน Cloud จะถูกเข้ารหัสและมีการทำสำรองไว้เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล
  3. ค่าใช้จ่ายถูกกว่า ไม่มีต้นทุนแฝงอื่นๆ เหมือนการสำรองข้อมูลแบบ On-Premises ที่จะต้องเช่าค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบทั้งหมด

Backup as a Service (BaaS) เหมาะสมกับใคร

บริการ BaaS เหมาะกับองค์กรทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดเล็กที่ไม่อยากลงทุนซื้อฮาร์ดแวร์และต้องการSolution ในการสำรองข้อมูลในทันที หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องการจะขยับขยายการสำรองข้อมูลเดิมแบบ On-Premises ให้สามารถรองรับการสำรองข้อมูลที่มากขึ้น ซึ่งบริการ BaaS สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งในเรื่องของการประหยัดต้นทุน ความรวดเร็วและองค์กรของคุณก็ไม่ต้องจัดการกับปัญหาหลังบ้านหรือปัญหาทางเทคนิคใดๆ

การมี Backup Solution ที่ดีจะช่วยให้สามารถเก็บรักษาข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดก็สามารถกู้คืนข้อมูลกลับมาใช้ได้ทันเวลาเมื่อต้องการ  ซึ่ง Symphony Cloud Service มีผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำแนะนำในการเลือก Backup as a Service Solution ที่ช่วยให้คุณเลือกวางระบบการสำรองข้อมูลได้เหมาะกับความต้องการใช้งานและงบประมาณขององค์กร

สนใจบริการติดต่อ 02 101 1111 หรือ E-mail : Cloud@symphony.net.th

IaaS, PaaS, SaaS ต่างกันอย่างไร

อย่างที่เราทราบกันดีว่าในปัจจุบัน ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มนำบริการ Cloud ไปปรับใช้กับธุรกิจ ดังนั้นการทำความเข้าใจความแตกต่างและข้อดีของบริการ Cloud แต่ละรูปแบบนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ วันนี้ Symphony Cloud จะขอพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับบริการ Cloud ทั้ง 3 รูปแบบ โดยจะอธิบายให้เห็นถึงความแตกต่าง ตัวอย่างของการให้บริการ ข้อดีและความเหมาะสมในการใช้งานในแต่ละรูปแบบด้วย

Infrastructure-as-a-Service (IaaS)

เป็นบริการให้เช่าทรัพยากรโครงสร้างพื้นฐานระบบไอที เช่น CPU, Memory, Storage และ Networking ซึ่งลูกค้าสามารถกำหนดขนาด (Capacity) ให้เหมาะสมกับความต้องการได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อ Hardware ของตัวเอง ยกตัวอย่าง IaaS เช่น Microsoft Azure, AWS EC2, Google Compute Engine (GCE) เป็นต้น

Platform-as-a-Service (PaaS)

เป็นบริการให้เช่าแพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนา Software โดยผู้ให้บริการจะจัดเตรียมทรัพยากรรวมถึง Framework หรือ Tools ต่างๆ เพื่อช่วยให้นักพัฒนา Software สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันต่างๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็วและปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการตามความเหมาะสม ตัวอย่าง PaaS เช่น Google App Engine (GAE) และ AWS Elastic Beanstalk เป็นต้น

Software-as-a-Service (SaaS)

เป็นบริการให้เช่าซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่ผู้ใช้บริการสามารถสมัครสมาชิกและเข้าใช้งานได้ทันทีผ่านอินเทอร์เน็ต โดยซอฟต์แวร์ดังกล่าวจะทำงานอยู่บน Cloud ซึ่งผู้ให้บริการเป็นผู้ดูแลทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์เอง ตัวอย่าง SaaS เช่น O356, Google Workspace, Dropbox, Salesforce เป็นต้น

สรุปความแตกต่างระหว่าง IaaS, PaaS และ SaaS

IaaS : ทรัพยากรให้เช่าที่มีความยืดหยุ่นในการปรับขนาดทรัพยากรเพื่อโฮสต์แอปทางธุรกิจที่สร้างขึ้นเองรวมถึงการจัดเก็บข้อมูลทั่วไป

PaaS : สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม IaaS เพื่อลดความจำเป็นในการดูแลโครงสร้างพื้นฐาน ช่วยให้ธุรกิจไปมุ่งเน้นที่การพัฒนาแอปแทนโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการดูแลระบบ

SaaS : เป็น Software สำเร็จรูปพร้อมใช้งานที่สร้างมาเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ (เช่นเว็บไซต์หรืออีเมล) โดยส่วนมากแล้วแพลตฟอร์ม SaaS สมัยใหม่ มักถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม IaaS หรือ PaaS อีกที

บริการทั้ง 3 รูปแบบเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการใช้บริการ Cloud โดยสามารถเลือกใช้งานอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือใช้งานร่วมกันตามจุดประสงค์ของการใช้งาน

Symphony Cloud Service พร้อมให้คำปรึกษาและบริการ Cloud ทุกรูปแบบ หากสนใจบริการติดต่อ 02 101 1111 หรือ

 E-mail : Cloud@symphony.net.th

Cloud คืออะไร แล้ว Cloud แบบไหนเหมาะกับเรา

หลายๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า Cloud มาบ้าง ไม่ว่าจะเป็น Cloud Computing หรือ Cloud Service ซึ่งเรามักจะรู้จักในลักษณะของบริการฝากไฟล์ข้อมูล รูปภาพหรือเอกสารจากผู้ให้บริการต่างๆ เช่น Google Drive จาก Google หรือ OneDrive จาก Microsoft โดยอาจเป็นการให้บริการฟรีหรือพ่วงมากับบริการอื่นๆ แต่อันที่จริงแล้ว Cloud Service นั้นสามารถใช้งานได้หลากหลายมากกว่าแค่เป็นเพียงพื้นที่จัดเก็บไฟล์ทั่วๆ ไปที่เราคุ้นเคยกัน

แล้ว Cloud Computing คืออะไร?

Cloud Computing คือการให้บริการทรัพยากรทางด้านคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่ง ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงได้ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยผู้ให้บริการจะสร้างโครงสร้างพื้นฐานบน Data Center ที่ประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ (Cloud Server) ที่ซับซ้อนจำนวนมากด้วยการเข้าถึง Cloud ได้จากทุกที่บนโลกเพียงแค่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ทำให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป และการที่รวบรวมทรัพยากรคอมพิวเตอร์จำนวนมากไว้ด้วยกัน ทำให้สามารถเลือกเพิ่มหรือลดการใช้งานได้ตามต้องการ โดยไม่ต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์เพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต นอกจากนี้ยังไม่มีค่าใช้จ่ายในการดูแลอุปกรณ์เพราะเป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการ ทำให้ Cloud Service ได้รับความนิยมในหลายกลุ่มธุรกิจ

Cloud Computing แบบไหนที่เหมาะกับเรา?

เราสามารถแบ่ง Cloud Computing ออกเป็น 3 แบบตามลักษณะการใช้งาน โดยแต่ละแบบนั้นจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัตุประสงค์การใช้งาน

  1. Public Cloud : คือบริการ Cloud Computing ที่จะใช้ทรัพยากรต่างๆ จากผู้ให้บริการเช่น ระบบ Hardware เสมือน ระบบโครงข่ายหรือ Network และระบบ Software ร่วมกันกับผู้ใช้งานอื่นๆ แต่จะไม่สามารถเข้าถึงระหว่างกันได้หากไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะมีระบบรักษาความปลอดภัย เช่น Cloud Firewall เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน โดยการใช้งานจะเป็นแบบ Pay-as-You-Go หรือจ่ายตามการใช้งานจริง เหมาะกับการที่มีการเพิ่ม-ลดขนาดทรัพยากรบ่อยๆ หรือต้องรองรับการใช้งานจำนวนมากพร้อมๆ กัน เช่น Web Application ต่างๆ
  2. Private Cloud : คือบริการ Cloud Computing ที่จัดสรรทรัพยากรให้ใช้แบบส่วนตัวโดยไม่ต้องแบ่งหรือใช้ร่วมกับผู้อื่น แต่องค์กรจะต้องลงทุนด้านทรัพยากรทั้งหมด โดยผู้ให้บริการจะดูแลระบบให้ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่การออกแบบตามความต้องการใช้งาน การติดตั้ง ความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้งานมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานที่เน้นในเรื่องการรักษาความปลอดภัยหรือการเก็บข้อมูลที่เป็นความลับ
  3. Hybrid Cloud : คือบริการ Cloud Computing ที่รวมเอาข้อดีของ Public Cloud และ Private Cloud ไว้ด้วยกัน โดยมีการทำงานทั้ง 2 ระบบตามความเหมาะสม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงาน

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะใช้งาน Cloud รูปแบบไหนต่างต้องใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเข้าถึงการใช้งาน ซึ่ง Symphony มีโครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่ครอบคลุม สามารถเข้าสู่ Data Center ชั้นนำได้หลากหลายเส้นทาง ตอบโจทย์การใช้งาน Cloud ทุกประเภท นอกจากนี้ยังมี Symphony Cloud Service ที่จะคอยให้คำแนะนำในการใช้งาน Cloud ทุกรูปแบบ อุ่นใจกว่าด้วยการให้บริการแบบ One Stop Service ดูแลตั้งแต่ระบบโครงข่ายอินเทอร์เน็ตไปจนถึงการใช้งาน Cloud แบบไร้รอยต่อ

สนใจบริการติดต่อ 02 101 1111 หรือ E-mail : Cloud@symphony.net.th   

เตรียมความพร้อมก่อน Transform to Cloud กับ Symphony

ข้อมูลจากศูนย์วิจัย Gartner คาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ Cloud สาธารณะ (Public Cloud) ในประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 54,409 ล้านบาทในปี 2023 เติบโตขึ้นจากปี 2022 ถึง 31.8% เนื่องจากการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของภาคธุรกิจที่เริ่มใช้บริการ Cloud มากขึ้น เนื่องจากระบบ Cloud นั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่พื้นที่จัดเก็บข้อมูลเท่านั้นแต่เป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการทำธุรกิจ (Business Application) เช่น ข้อมูล คน คู่ค้า กระบวนการ เทคโนโลยีสำหรับการผลิตและการบริการต่างๆ ให้กับลูกค้า ทั้งยังสามารถปรับลดขนาดได้เหมาะสมตามความต้องการของธุรกิจต่างๆ

จากงานวิจัยพบว่าผู้ประกอบการหลายรายยังคงมองว่า Cloud เป็นเพียงแค่พื้นที่จัดเก็บข้อมูล (Storage) มีค่าใช้จ่ายในการใช้งานแบบครั้งเดียว (CAPEX) และคุ้นเคยกับการลงทุนในระบบแบบ On-Premise ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสในการดำเนินธุรกิจเนื่องจากความล่าช้าในการจัดหาอุปกรณ์เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจรวมถึงการดูแลระบบที่จะเกิดขึ้นภายหลัง

อันที่จริงแล้วระบบ Cloud ที่มีความยืดหยุ่นกว่าแตกต่างจากระบบ On-Premise มาก เพราะเริ่มต้นใช้งานได้เร็วกว่า สามารถควบคุมต้นทุนได้ ทั้งในช่วงเริ่มต้นธุรกิจหรือช่วงขยายธุรกิจ ระบบ Cloud ยังคงตอบสนองได้ตามความต้องการ แต่สิ่งสำคัญในการเตรียมพร้อมก่อนตัดสินใจใช้บริการ Cloud คือ

  1. รู้จัก Cloud รู้จักเรา : ควรทราบถึงประโยชน์และข้อดีของ Cloud และเข้าใจว่าธุรกิจต้องการใช้ Cloud เพื่อวัตถุประสงค์ใด เพราะ Cloud นั้นช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ ถ้ายังไม่เข้าใจและไม่กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน Cloud อาจไม่ตอบโจทย์กลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
  2. การใช้งาน Cloud นั้นไม่ควรจำกัดเฉพาะหน่วยงานด้าน IT แต่ควรประยุกต์ใช้กับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อปรับปรุงการทำงานหรือการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ดีที่สุด
  3. Long life learning : องค์กรควรสนับสนุนให้พนักงานเรียนรู้นวัตกรรม Cloud ใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อการใช้งาน Cloud ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเกิดการสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆ เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้ดีขึ้นจากการนำ Cloud มาใช้ในองค์กร

หลายบริษัทประสบความสำเร็จจากการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานแบบเดิมมาใช้งานบนระบบ Cloud โดยเริ่มจากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ต้องการเป็นโรงงานอัจฉริยะโดยการใช้งาน Cloud เพื่อระบุปัญหาในกระบวนการผลิต ช่วยให้ลดเวลาการแก้ไขปัญหาจากวันเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง หรือการนำข้อมูลทางการตลาดที่เกิดขึ้นบน Cloud ไปออกแคมเปญกระตุ้นยอดขายแบบ Realtime 

การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนทำให้การใช้บริการ Cloud ของธุรกิจประสบความสำเร็จทั้งในด้านกลยุทธ์การดำเนินงานและด้านการเงิน จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า บริษัทที่ตั้งเป้าหมายการลงทุนในเทคโนโลยี Cloud นั้น สามารถลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจได้ถึง 1.2 เท่าในทวีปอเมริกาเหนือ และ 2.7 เท่าในทวีปยุโรป เมื่อเทียบกับบริษัทที่ใช้แค่การสำรองข้อมูลเป็นหลัก หากธุรกิจของคุณตั้งเป้าหมายและพร้อมให้ความรู้พนักงานในองค์กรเรื่องเทคโนโลยีของ Cloud แต่ไม่ทราบว่าจะเริ่มอย่างไร ทีมงาน Symphony Cloud ยินดีให้คำปรึกษาบริการ Cloud ทุกรูปแบบ เพราะเราเชื่อมั่นว่าการลงทุนในเทคโนโลยี Cloud นั้นให้ผลตอบแทนคุ้มค่าในอนาคตอย่างแน่นอน

สนใจบริการติดต่อ 02 101 1111 หรือ E-mail : Cloud@symphony.net.th